แบรนด์
บทความ
แผลกดทับ (Bed Sore)
เส้นเลือดขอด (Varicose Vein)
ภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Allergy)
ริดสีดวงทวารหนัก (Hemorrhoids)
กระดูกพรุน (Osteoporosis)
ความจำเสื่อมและอัลไซเมอร์ (Dementia /Alzheimers)
เก๊าท์ (Gout)
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ท้องผูก (Constipation)
กรดไหลย้อน (GERD)
ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ (Respiratory allergy)
ตาแห้ง (Dry eyes)
สิว (Acne)
ผมร่วง (Hair Loss)
ไมเกรน (Migraine)
ข้ออักเสบจากข้อเสื่อม (Osteoarthritis)
เครียด นอนไม่หลับ (Stress and Insomnia)
ตกขาว (Leucorrhea)
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
ต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia)
สตรีวัยทอง (Menopause)
ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)
ตับอักเสบ (Hepatitis)
เบาหวาน (Diabetes)
จอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration)
ต้อกระจก (Cataract)
สะเก็ดเงิน (Psoriasis)
ปวดหลัง (Chronic Lower back Pain)
ปวดประจำเดือน (Labor Pain Management)
ไทรอยด์เป็นพิษ (Hypothyroidism)
ปลายประสาทอักเสบ (Peripheral Neuropathy)
ไขมันพอกตับที่มีการอักเสบร่วมด้วย (NASH)
CVS หรือ Computer Vision Syndrome
ท้องร่วง (Diarrhea)
เวียนหัว บ้านหมุน (Vertigo)
ร้องโคลิก (Colic)
ปวด บวม ช้ำ (Brunt Trauma)
โรคอ้วน (Obesity)
ไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia)
ภาวะเสื่อมสมถรรภาพทางเพศ (Erectile dysfunction)
กระเพาะอาหารอักเสบ (Peptic Ulcer Disease)
เริม (Herpes Simplex)
หอบหืด (Asthma)
นอนติดเตียง (Bedridden)
โรคไต (Chronic Kidney Disease)
ผู้สูงอายุ (Elder care)
ไข้หวัด (Flu/Cold)
เวชสำอางสำหรับสิว (Acne Dermocosmetics)
ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด (Sun Block& Sun Screen)
ผิวริ้วรอย..แก่ก่อนวัย (Wrinkle Skin)
ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis)
แผ่นมาส์กผิวหน้า (Facial mask)
ผิวบอบบางแพ้ง่าย (Sensitive skin)
ฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ
แชมพูกำจัดรังแค (Anti-Dandruff Shampoo)
ผลิตภัณฑ์ป้องกันผมร่วง (Anti-Hair loss Shampoo)
หนังศีรษะบอบบาง (Sensitive scalp Shampoo)
ผิวแตกลาย (Anti Stretch Mark)
ผลิตภัณฑ์สำหรับจุดซ่อนเร้น
กลุ่มอโรมาเธอราพี (Aromatherapy)
บำรุงรอบดวงตา
ผลิตภัณฑ์กันแดดสำหรับเด็ก
บำรุงผิวน้ำมันมะพร้าว
สกินแคร์ออร์แกนิค
ผิวแห้ง แดง คัน ระคายเคือง
ผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื้น
สเปรย์น้ำทะเล เจือจางพ่นหรือล้างจมูก
อุปกรณ์ล้างจมูก (Nasal Rinsing System)
น้ำเกลือ (Normal Saline)
อุปกรณ์วัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Fingertip Oximeter)
ถุงให้อาหาร (Nutrition Bag)
เครื่องวัดความดัน (Blood Pressure Monitor)
ที่นอนลม (Mattress)
เบาะเจลป้องกันแผลกดทับ Anti-Bedsore Gel Cushion
รถเข็นผู้ป่วย (Wheel Chair)
เครื่องตรวจวัดน้ำตาลในเลือด (Blood Glucose Monitor)
พลาสเตอร์และอุปกรณ์ทำแผล (Bandage&Wound Dressing)
อุปกรณ์พยุงหลัง (Back Support)
แผ่นแปะเท้าและแก้ปวดเมื่อย (Foot Pads and Medicated Plaster)
ทิชชู่เปียกและผ้าเปียก (Cleansing Wipes)
ผ้ายืดสวมประคอง (Elastic Bandage)
ชุดสายงวงช้างคอลลูเกต ผู้ป่วยเจาะคอ ( Corrugated Tube )
เทปแต่งแผล (Adhesive Tape roll)
กระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยา (Syringe and Hypodermic needle)
ชุดเข็มให้น้ำเกลือ (Set IV)
ผ้าก๊อซต่างๆ (Gauze pad)
แอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อ (Alcohol & Disinfecting solution)
น้ำยาล้างตา (Eye Lotion)
อุปกรณ์พยุงนิ้วหัวแม่มือ (Thumb Stabilizer)
อุปกรณ์พยุงกล้ามเนื้อ แขนท่อนล่าง(Tennis Elbow Strap)
อุปกรณ์ประคองนิ้วโป้งเท้า (Toe Separator)
อุปกรณ์รองส้นเท้า (Heel Cap Central Spur)
อุปกรณ์ลดการเสียดสีของเท้า (Elastic Bunion Aid)
อุปกรณ์ประคองแขนและไหล่ (Arm & Shoulder Sling)
อุปกรณ์ประคองคอ (Cervical Collar)
แผ่นรองซับ (Incontinent pad)
ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ (Adult Tape Diaper)
ถุงมือทางการแพทย์ (Examination Glove)
ผ้ายกตัว (The easiest way to transfer)
อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยฟอกเลือด ล้างไต
อาหารโภชนบำบัด สำหรับผู้สูงอายุ (Nutrition Therapy Aging)
อาหารควบคุมน้ำหนัก (Nutrition for Weight Control)
ถังออกซิเจน (Oxygen Tank)
อุปกรณ์ดูแลเท้า (Foot Care)
เครื่องดูดเสมหะ (Suction Machine)
เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอล (Digital Thermometer)
ไม้เท้าและอุปกรณ์ค้ำ (Canes&Crutches)
เก้าอี้นั่งถ่าย (Commode Chair)
เก้าอี้อาบน้ำ (Bath Chair)
อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetes Nutrition)
แป้นถ่ายติดหน้าท้อง พร้อมถุงถ่ายหน้าท้อง (Valore Fianges Ring Size)
กระบอกและเข็มฉีดยา สำหรับอินซูล (Insulin Syringe&Needle)
หน้ากากสุขภาพ (Mask)
แปรงสีฟัน (Toothbrush)
หมอนป้องกันแผลกดทับ (Anti-Bedsore Pillow)
หมอนก-ข-ค (ก้น-ขา-คอ)
สารอาหาร
กระชายดำ (Krachaidum)
เห็ดหลินจือ (Reishi)
ผลกุหลาบป่า (Rose Hip)
หลินจือสกัด (Lingzhi Extract)
D-Manose
Licorice (Glycyrrhiza glabra)
แอล-ซิสเทอีน L-Cysteine
สารสกัดจากมิลเลท Millet Extract
วาเลอเลียน (Valerian)
ทีทรีออยล์ (Tea tree oil)
วิตามินรวม (Multi-Vitamins)
สารสกัดเอคไคเนเชีย (Echinesia)
คอนโดรอิติน (Chondroitin)
น้ำมันโบราจ Borage Oil
สารสกัดเมล่อน Melon Extract (SOD)
สารสกัดแบล็คโคโฮช (Black Cohosh)
ไบโอติน (Biotin)
เบต้ากลูแคน (Beta-glucan)
สารสกัดบิลเบอร์รี่ (Bilberry)
พรอบพอริส (Propolis)
แอสตร้าแซนทีน (Astaxantine)
น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ (Flax seed oil)
ไฟเบอร์ (Fiber)
Curcumin
แครนเบอร์รี่ (Cranberry)
สารสกัดจากอบเชย (Cinnamon Extract)
โคเอนไซม์คิวเท็น Coenzyme Q10
วิตามินดี Vitamin D
วิตามินบี6 Vitamin B6-PYRIDOXINE
วิตามินบี1 Vitamin B1-Thiamine
Gingko Biloba สารสกัดจากใบแปะก๊วย
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น Grape Seed Extract
วิตามินซี (Vitamin C)
อัลฟ่า-ไลโปอิก-แอซิด (Alpha Lipoic Acid)
อะเซโรลาเชอรี่ Acerola Cherry
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส Evening Primrose Oil
วิตามินบี12 Vitamin B12-Cobalamin
น้ำมันปลา Fish oil-Omega 3
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว Rice Bran Oil
ไลโคพีน Lycopene
Collagen (คอลลาเจน)
แอล-อาร์จินีน (L-Arginine)
ไลซีน L-Lysine
แอล-คาร์นิทีน (L-Carnitine)
แอล-กลูตาไธโอน (L - Glutathione)
Bioflavonoid (ไบโอฟลาโวนอยด์ -วิตามิน P)
โครเมี่ยม-พิโคลิเนต (Chromium picolinate)
โคลีน Choline
ไคโตซาน (Chitosan)
Aquamin (อะควอมิน-แคลเซี่ยมจากสาหร่ายทะเล)
วิธีสั่งซื้อ
น้ำมันปลาทูน่า (Tuna Oil) คือ น้ำมันที่สกัดจากส่วนหัวและเนื้อของปลาทูน่า อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สำคัญ ได้แก่ DHA (Docosahexaenoic Acid) และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ทั้งสองกรดไขมันมีบทบาทสำคัญในการบำรุงสมอง การทำงานของระบบประสาท การมองเห็น และการดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ทำให้น้ำมันปลาทูน่าได้รับความนิยมอย่างมากในการเสริมโภชนาการและดูแลสุขภาพในระยะยาว
น้ำมันปลา หรือ ฟิชออยล์ (Fish Oil) คือ น้ำมันที่สกัดมาจากส่วนของเนื้อปลา หนัง หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึก (โดยเฉพาะปลาในเขตหนาว ถ้าปลาทะเลทั่วไปจะได้สารสำคัญน้อยกว่าปลาทะเลที่อยู่ในกระแสน้ำเย็น) ในน้ำมันปลานี้จะมีกรดไขมันอยู่หลายชนิด แต่ชนิดที่สำคัญและมีการนำมาใช้ในทางการแพทย์ คือ กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 และกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-6 แต่กลุ่มที่สำคัญที่สุดคือกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 เนื่องจากมีกรดสำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ และจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น
เป็นส่วนหนึ่งของไขมันที่สกัดจากส่วนหัวและส่วนเนื้อของปลาทูน่าซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญ คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิด โอเมก้า 3 ซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเด่นๆ 2 ชนิด ได้แก่
ʕ·ᴥ·ʔ กรดดีโคซาเฮกซาอีโนอิก หรือ DHA ( Decoxahexaenoic Acid )
ʕ·ᴥ·ʔ กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก หรือ EPA ( Eicosapentaenoic Acid )
✿ ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าการบริโภคน้ำมันปลาอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ทั้งอาจช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีในร่างกาย และยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และความดันโลหิตได้อีกด้วย
✿ รักษาภาวะหรืออาการทางจิตใจ
เนื่องจากน้ำมันปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญต่อการทำงานของสมอง หลายคนจึงเชื่อว่าน้ำมันปลาอาจช่วยในการรักษาภาวะหรืออาการทางจิตใจ จึงมีงานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของน้ำมันปลาในด้านนี้ ชี้ว่าการบริโภคน้ำมันปลาอาจช่วยป้องกันภาวะผิดปกติทางจิตใจบางอย่าง และยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ชี้ว่าการบริโภคน้ำมันปลาอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคไบโพลาร์และโรคจิตเภทอีกด้วย
✿ ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก
อ้วน เป็นภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากผิดปกติหรือมากเกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญออกไป และอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งได้อีกด้วย ซึ่งผู้ป่วยภาวะอ้วนจะต้องลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
✿ ต้านการอักเสบ
การอักเสบ เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงาน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายอย่างแบคทีเรีย ไวรัส สารเคมี รวมถึงการบาดเจ็บของร่างกาย ซึ่งการอักเสบเรื้อรังอาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือการเจ็บป่วยที่รุนแรง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า และโรคหัวใจ เป็นต้น
ปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า-3 จากแหล่งธรรมชาติ ต่อเนื้อปลา 150 กรัม
✿ ปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋อง: 1,500 มิลลิกรัม
✿ ปลาแซลมอนกระป๋อง: 500-1,000 มิลลิกรัม
✿ หอยแมลงภู่: 500-1,000 มิลลิกรัม
✿ แซลมอนแอตแลนติกหรือออสเตรเลีย: มากกว่า 500 มิลลิกรัม
✿ ปลาแมกเคอเรล: มากกว่า 500 มิลลิกรัม
✿ ปลากระบอก: มากกว่า 500 มิลลิกรัม
✿ ปลาซาร์ดีนสด: มากกว่า 500 มิลลิกรัม
✿ ปลาทูน่ากระป๋อง: 300-500 มิลลิกรัม
✿ ปลากะพง: 300-400 มิลลิกรัม
✿ ปลาบลูอายเทรวัลลา: 300-400 มิลลิกรัม
✿ ปลาทูน่า: 300-400 มิลลิกรัม
✿ ปลากระพงขาว: 200-300 มิลลิกรัม
✿ ปลาตาเดียว: 200-300 มิลลิกรัม
✿ กุ้ง: <300 มิลลิกรัม
จากข้อมูลของมูลนิธิหัวใจ ประโยชน์ด้านสุขภาพที่ได้จากการรับประทานปลามีความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะรับประทานปลาสองมื้อขึ้นไปต่อสัปดาห์ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการบริโภคของสายพันธุ์ที่มีสารปรอทสูง
เนื่องจากน้ำมันปลามีไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ในทางการแพทย์จึงเชื่อว่าการบริโภคน้ำมันปลาอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลากหลายด้าน และสำหรับประโยชน์ที่มีหลักฐานตามงานวิจัยในปัจจุบันนั้นมีดังนี้
✿ จากผลวิจัยทางการแพทย์ระบุไว้ว่า น้ำมันปลาสามารถช่วยลดไขมันตัวร้ายดังกล่าวได้ 20-50% ที่สำคัญ คือ ค่อนข้างปลอดภัยและสามารถใช้ร่วมกับยาในการลดระดับไขมันในผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงได้ (การทานร่วมกับยาที่ได้รับอยู่ปกติจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพการลดไขมันดีขึ้น แต่คุณควรปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ก่อน)
✿ การรับประทานน้ำมันปลาสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) ในผู้ที่มีปัญหาระดับคอเลสเตอรอลผิดปกติได้ (แต่บางงานวิจัยก็ไม่พบว่าน้ำมันปลามีสรรพคุณดังกล่าวทั้งการเพิ่มระดับระดับ HDL และลดระดับ LDL)
✿ โรคหัวใจ การรับประทานปลาจะช่วยให้หัวใจมีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ส่วนผู้ที่เป็นโรคหัวใจเองก็สามารถลดความเสี่ยงต่าง ๆ จากโรคของตนได้ แต่สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลานั้นยังคงไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้
✿ หัวใจล้มเหลว การบริโภคน้ำมันปลาในปริมาณมากทั้งจากอาหารและจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวได้
✿ ป้องกันการอุดตันซ้ำหลังการผ่าตัดขยายหลอดเลือด มีงานวิจัยที่พบว่าน้ำมันปลาสามารถลดอัตราการอุดตันซ้ำของหลอดเลือดได้มากถึง 45% เมื่อรับประทานก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 3 สัปดาห์และหลังจากผ่าตัด 1 เดือน
✿ การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery bypass surgery) น้ำมันปลาอาจช่วยป้องกันไม่ให้ทางเบี่ยงหลอดเลือดตีบตันซ้ำได้
✿ การปลูกถ่ายหัวใจ การรับประทานน้ำมันปลาอาจช่วยสงวนการทำงานของไตและลดความดันโลหิตระยะยาวหลังการปลูกถ่ายหัวใจได้
✿ โรคหลอดเลือดสมอง การบริโภคปลาในปริมาณที่พอเหมาะ (1-2 ครั้งต่อสัปดาห์) สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองลง 27%
✿ ช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงจากการใช้ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับลดความเสี่ยงการปฏิเสธอวัยวะใหม่ที่ต้องใช้หลังการปลูกถ่ายอวัยวะ
✿ โรคข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) การรับประทานน้ำมันปลาเพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับยานาพรอกเซน (Naproxen) สามารถช่วยให้อาการของข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์ดีขึ้น มีผลทำให้อาการเจ็บปวดลดลงจนมีการใช้ยาแก้ปวดน้อยลง อีกทั้งการให้น้ำมันปลาเข้าเส้นเลือดก็สามารถลดอาการบวมและข้อแข็งในผู้ป่วยโรคนี้ได้ด้วย ส่วนการศึกษาของมหาวิทยาลัยบริสตอล พบว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลา สามารถบรรเทาอาการของโรคข้อกระดูกอักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อทำการทดลองให้อาหารที่มีโอเมก้า-3 สูงแก่หนูตะเภาที่เป็นโรคข้อกระดูกอักเสบ พบว่า สามารถช่วยรักษาโรคได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับหนูที่กินอาหารแบบปกติ
✿ อาการอักเสบของข้อกระดูกในหญิงตั้งครรภ์ การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยลดอาการอักเสบของข้อกระดูกที่คุณแม่ตั้งครรภ์มักพบเจอได้
✿ การได้รับ DHA ในปริมาณที่มากพอจะช่วยให้ความคิดและการจดจำดีขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ DHA จึงอาจเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการบำรุงสมองอย่างมาก เช่น นักเรียนนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่และต้องการเพิ่มการเรียนรู้การจดจำ หรือในผู้สูงอายุที่ต้องการช่วยเพิ่มการจดจำ การคิด ลดการเสื่อมของระบบประสาท อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการเพิ่มความจำ DHA ก็ช่วยได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นและไม่ได้ช่วยให้ฉลาดขึ้นแต่อย่างใด (แต่ DHA สามารถเสริมได้ตั้งแต่ทารกในครรภ์ เพราะ DHA เป็นองค์ประกอบของเซลล์สมอง จอประสาทตา หากทารกได้รับอย่างเพียงพอก็จะส่งผลให้มีพัฒนาการทางสมองและสายตาที่ดีขึ้น)
✿ ช่วยเสริมสร้างพลังให้สมองและความจำ DHA ในน้ำมันปลาเป็นสารอาหารบำรุงสมองชั้นดี มีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความจำ ด้านการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท (Motor skill) รวมถึงระบบการมองเห็นของจอประสาทตา (Retina) ด้วย
✿ สำหรับทารกแรกเกิด DHA ในน้ำมันปลาอาจช่วยพัฒนาสมองในระบบประสาทส่วนกลางและพัฒนาเซลล์เนื้อเยื่อดวงตาซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการมองเห็นของเด็ก โดยเฉพาะพัฒนาการทางสมองของเด็กในช่วงครรภ์ไตรมาสสุดท้ายและในช่วงเดือนแรก ๆ หลังการคลอด เนื่องจาก DHA เป็นองค์ประกอบของเซลล์สมอง จอประสาทตา หากทารกได้รับอย่างเพียงพอก็จะส่งผลให้มีพัฒนาการทางสมองและสายตาที่สมบูรณ์ขึ้น
✿ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งออสเตรเลียตะวันตก (The University of Western Australia) พบว่า การเสริมน้ำมันปลาอาจนำไปสู่การทำให้การประสานกันของตาและมือที่ดีขึ้นของทารก (ทดสอบในเด็ก 72 คน โดยเปรียบเทียบคุณแม่ที่ได้รับน้ำมันปลาในปริมาณมากในระหว่างการตั้งครรภ์กับกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำมันมะกอก)
✿ การรับประทานน้ำมันปลาในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถช่วยเสริมภูมิต้านทานของร่างกายให้คุณแม่ได้ และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ทารกด้วยเช่นกัน โดยอาจมีผลช่วยทำให้ทารกไม่ค่อยเป็นหวัดในช่วงเดือนแรก ๆ หลังการคลอด เพราะจากการศึกษาวิจัยของคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอมโมรี (Emory University) ที่ได้ติดตามหญิงชาวแม็กซิกันจำนวน 851 คน (ผู้หญิงครึ่งหนึ่งทาน DHA วันละ 400 มิลลิกรัม กับอีกครึ่งหนึ่งที่ได้รับยาหลอก) ตั้งแต่ช่วงระหว่างเดือนที่ 4-6 ของการตั้งครรภ์ต่อเนื่องไปจนทารกมีอายุหกเดือน แล้วทำการสัมภาษณ์ถึงปัญหาสุขภาพของเด็กทารกว่ามีอาการโรคทางเดินหายใจหรือไม่ ตั้งแต่อาการไอ มีเสมหะ คัดจมูก หายใจมีเสียงฟืดฟาด หรือเป็นหวัด พบว่า “ทารกที่คุณแม่ทาน DHA เป็นประจำจะมีอาการของโรคทางเดินหายใจน้อยกว่าเมื่อเจ็บป่วย”
✿ สำหรับโรคความผิดปกติด้านพัฒนาการประสานงานของอวัยวะ (Developmental coordination disorder) การรับประทานน้ำมันปลา (80%) กับน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส (20%) อาจช่วยเพิ่มความสามารถในการอ่าน สะกดคำ และพฤติกรรมของเด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการประสานงานของอวัยวะที่มีอายุ 5-12 ปีได้ อย่างไรก็ตาม น้ำมันปลาอาจไม่ช่วยในเรื่องทักษะการเคลื่อนไหว
✿ สำหรับโรคสมาธิสั้นในเด็ก การรับประทานน้ำมันปลาจะเพิ่มสมาธิ การทำงานทางสมอง และพฤติกรรมของเด็กโรคสมาธิสั้นที่มีอายุ 8-13 ปีได้ ส่วนการศึกษาวิจัยอื่นพบว่า การรับประทานน้ำมันปลาที่มีส่วนผสมของน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สามารถเพิ่มการทำงานทางสมอง และพฤติกรรมของเด็กอายุ 7-12 ปีที่เป็นโรคสมาธิสั้นได้
✿ สำหรับคุณแม่หลังคลอด การรับประทานน้ำมันปลาในรูปแบบอาหารเสริมสามารถช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้อย่างมีนัยสำคัญ
✿ โรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) การรับประทานน้ำมันปลาร่วมกับการบำบัดรักษาโรคนี้ตามปกติสามารถบรรเทาอาการซึมเศร้า (Depression) แต่ไม่อาจบรรเทาอาการพลุ่งพล่าน (Mania) ในผู้ป่วยโรคนี้ได้
✿ โรคจิต (Psychosis) มีงานวิจัยที่พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาอาจช่วยป้องกันโรคจิตในวัยรุ่นและผู้ใหญ่อายุน้อยที่มีอาการไม่รุนแรงมากได้ (แต่ยังไม่ได้ทดสอบในผู้สูงอายุ)
ผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาทั่วไปจะมีส่วนผสมหลัก ๆ คือ EPA และ DHA แต่ในปัจจุบันน้ำมันปลาบางยี่ห้อได้มีการเติมสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์เพิ่มเติมอย่างเช่น วิตามินอี และแอสตาแซนธินที่ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
✿ วิตามินอี (Vitamin E) ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดการอักเสบ จึงอาจช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ภายในหลอดเลือดได้ โดยผลการทดลองชิ้นหนึ่งพบว่าการได้รับวิตามินอีเป็นประจำทุกวันอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้วิตามินอียังเป็นสารที่ช่วยคงสภาพและปริมาณของสารสำคัญของน้ำมันปลาให้สูงสุดในระหว่างรอการบริโภคด้วย
✿ สารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ที่อาจช่วยต่อต้านการอักเสบของหลอดเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบหรือการอุดตันของเส้นเลือดเช่นเดียวกับโรคหัวใจได้ นอกจากนี้แอสตาแซนธินยังช่วยป้องกันการทำลายเซลล์และกระบวนการออกซิเดชั่นที่มีผลทำให้เกิดริ้วรอยและการเสื่อมของเซลล์ก่อนวัยอันควรได้ด้วย
✿ ทั่วไป เด็กอายุระหว่างสองถึงสามปีต้องรับประทานอย่างน้อย 40 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นเป็น 55 มิลลิกรัมต่อวันในเด็กอายุ 4-8 ปี สำหรับวัยรุ่นอยู่ระหว่าง 70 ถึง 125 มิลลิกรัมต่อวัน ขึ้นกับอายุและเพศ
✿ สำหรับผู้ใหญ่ มูลนิธิหัวใจแนะนำให้บริโภค อีพีเอ และ ดีเอชเอ ระหว่าง 250 และ 500 มิลลิกรัม ในแต่ละวัน หรือ ให้ได้ระหว่าง 1,750 ถึง 3,500 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์
✿ หากต้องการคงระดับไขมันในเลือดให้มีสุขภาพดี ควรบริโภคโอเมก้า-3 ประมาณ 900 มิลลิกรัม
✿ หากต้องการลดการอักเสบในข้อต่อที่ไม่รุนแรง ก็ควรบริโภคให้ได้ 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
สินค้าของแท้
ส่งเร็วทันใจ
เปลี่ยน/คืนได้ภายใน 14 วัน
รีวิวมากมายจากผู้ใช้จริง